1. ตา เขาไม่อยากสบตาคุณเพราะเขากลัวและรู้ตัวว่าผิด เขาพยายามมองด้านล่างเสมอ ถ้าเงยหน้าขึ้นมาบ้างสายตาเขาจะหลุกหลิกไปมา จะต่างกับคนที่ไม่ผิดเขาจะมองเราตาไม่กระพริบ ดวงตาลุกวาวจ้องรอคอยคำถามจากเรา เขากะว่าเป็นตายวันนี้ต้องเคลียร์ให้รู้เรื่อง (ดวงตาบ่งบอกได้ถึงความมั่นใจกับเรื่องที่พูดได้)
2. มือ คนที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องที่พูดอยู่นั้น มือและแขนของเขาขยับแสดงท่าทางเคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลา มือไม้พลิ้วไหวไปตามอารมณ์อย่างเป็นธรรมชาติไม่แข็งทื่อ และถ้าเอามือมาแตะบริเวณจมูกหรือใบหน้าแล้วละก็ ให้ตายเถอะนี่คือสัญญาณการโกหก
3. ไหล่ การยักไหล่คือ การพยายามทำให้เห็นว่า ฉันไม่รู้, ฉันไม่สน, ไม่เห็นเป็นไรนี่นา เป็นลักษณะพยายามทำให้เห็นว่าตนเองรู้สึกสบายในการตอบคำถาม
4. เท้า บางคนนั่งไขว้าขา(ไขว่ห้าง) เป็นการพยายามสร้างตนเองให้มีความมั่นใจ มีตบะท่านั้นเอง ต่างกับคนที่เขามีความมั่นใจพร้อมเขาไม่ต้องสร้างมันขึ้นมา
5. สีหน้า หมอจีนสมัยก่อนเขาดูหน้าปั๊บรู้เลยว่าต้องรักษาอย่างไรไม่ต้องถามความมาก เพราะใบหน้าบอกได้ทั้งร่างกายและจิตใจ หากเขามีความลับกับเรา หัวใจเขาสูบฉีดโลหิตแรงขึ้นใบหน้าจะแดงขึ้นมา ใบหน้าดูเครียด ดูเศร้าหมอง ราศีตกยังกับคนอมทุกข์
6. น้ำเสียง คนโกหกหรือปกปิดย่อมพูดเสียงเบากว่าปกติ น้ำเสียงอาจสั่นเครือ พูดติดติดขัดขัด หรืออาจพูดติดอ่าง น้ำเสียงขาดความมั่นใจ ขาดการเน้นย้ำประโยคสำคัญ เสียงขาดพลัง ขาดความหนักแน่น หรือบางครั้ง อาจทำโมโหกรบเกลื่อน
7. จังหวะการตอบ คนโกหกหรือปกปิด เมื่อจะตอบคำถาม ต้องคอยระมัดระวังคำพูด ไม่ให้ขัดแย้งกับที่พูดไปแล้ว ต้องคิดก่อนจึงตอบ ตอบคำถามช้า ไม่ตอบอย่างทันท่วงที แต่ถ้าเขาตอบทันทีก็ลองยิงคำถามรุกเข้าไปอีกนิด ตอนนี้คุณเพียงแค่คอยสังเกตให้ดีต้องต้องออกอาการให้เห็นแน่ เพราะสมองต้องใช้คิดส่วนหนึ่ง และต้องคอยระวังคำพูดมิให้แย้งกับที่พูดมาแล้ว
10. ปฏิกิริยาโต้ตอบ โดยทั่วไปคนที่ทำผิดจริงเท่านั้นที่ ที่จะเอาแต่ปกป้องตนเองจากคำถามหรือบ่ายเบี่ยง ส่วนคนที่ไม่ผิดจะสวนกลับในทันที เพราะเขางงเขาก็จะยิงคำถามมาให้เราเป็นชุดแบบไม่ลดราวาศอก ดีไม่ดีเรากลายเป็นจำเลยเขากลายเป็นโจทย์ทันที
11. ความขัดแย้งของกริยากับคำพูด การโกหกอาการทางร่างกายไม่สัมพันธ์กับข้อความที่พูดออกมา เช่น คนรักบอกว่าวันนี้ฉันดีใจจริงๆที่ได้เจอเธอ แต่ดูเขายิ้มแห้งๆไม่เป็นธรรมชาติ
12. พลั้งปาก ตามหลักจิตวิทยาการสอบสวนสืบสวนคำพูดครั้งแรกที่พูดจะเป็นจริง คำพูดครั้งหลังส่วนมากเป็นคำแก้ตัวครับเช่นนักเรียน นักศึกษาจะพูดว่าเมื่อคืนเราช่วยกันสรุปรายงานแทบไม่ได้หยุดพักเลย กว่าจะทำเสร็จเกือบตีหนึ่ง อาจพลั้งปากว่า เมื่อคืนเราช่วยกันสรุปรายงานแทบไม่ได้หยุดพักเลย กว่าจะลอกเสร็จเกือบตีหนึ่ง
14. ปกป้องผู้อื่น เขาไม่อยากให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย เพราะยิ่งจะทำให้เรื่องยุ่งยากเข้าไปอีก ดีไม่ดีเพื่อนเขาเองนั่นแหละจะชี้ว่าเขาเป็นคนทำ ก็เลยกันคนอื่นเอาไว้ก่อน หรือเขาอาจทำเพราะรักเพื่อนจริง ๆ
15. การตอบแบบอ้อม ๆ หลักการสอบสวนเท่ากับการไม่ตอบ เขาอาจตอบไม่ตรงประเด็นที่เราเจาะจงไป ตัวอย่าง : ผบ.ตร.ครับตามกระแสตอนนี้ประชาชนคิดว่าตำรวจปกป้องสีเดียวกัน ไม่มีการดำเนินการสอบสวนทางวินัยใดๆเลย ในเรื่องที่ตำรวจทำเกินเหตุ ข้อเท็จจริงเป็นอยางไรครับ?? เขาอาจตอบว่า “เราคือผู้รักษากฎหมาย ผิดก็ว่ากันตามผิด ถูกก็ว่ากันตามถูกไม่มีการลำอียงครับ” จริงๆ แล้วประเด็นที่ถามคือ ตำรวจปกป้องกันเองใช่หรือไม่ และดำเนินสอบสวนหรือยังต่างหาก สรุปว่าเขาไม่ได้ตอบคำถามเลย ตอบแค่อ้อมๆ แบ่งรับแบ่งสู้
ปล. สิ่งเดียวที่ทำให้การใช้จิตวิทยาจับโกหกไม่ได้ผล คือ “ความรัก” รักมากเท่าไหร่ เชื่อใจมากเท่านั้น หรือ รู้เขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก ยิ้มข้างนอก ช้ำใน…
ขอบคุณข้อมูลจาก www.gotoknow.org
เรียบเรียงและโพสโดย Admin : Smooth