” พระบิณฑบาต ” ยืนให้พร ต้องอาบัติทุกกฏ !!!
เนื่องจากมีชาวพุทธจำนวนมากเข้าใจว่า… พระสงฆ์เมื่อรับอาหารบิณฑบาตแล้ว ก็ต้อง ให้พร พระรูปไหนไม่ให้พร เป็นอันใช้ไม่ได้ หรือ ไม่ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ และเชื่อกันจนคิดว่า ” ถ้าพระไม่ให้พร เราก็จะไม่ได้บุญ ” จนเป็นเหตุตำหนิพระเลยก็ว่าได้
พระคุณเจ้าที่รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้ ก็อยากจะฉลองศรัทธาญาติโยม ก็เลยให้พรตามที่ญาติโยมต้องการ จนบางทีก็เกินไป เช่นให้พรเสียงดังบ้าง ให้พรจนยืดยาวบ้าง บางรูปให้ยถา – สัพพี แล้วต่อด้วย ภะวะตุสัพฯ เลยก็มี บางทีก็แทบจะกลายเป็นพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารแบบย่อมๆ เลยทีเดียว
>> ความจริงแล้ว …
การให้พรขณะบิณฑบาตนั้น ไม่ว่าพระท่านจะให้หรือไม่ก็ตาม บุญก็สำเร็จตั้งแต่เมื่อผู้มีศรัทธาได้ถวายอาหารนั้นไปแล้ว การให้พรของท่านก็เป็นเพียงการอนุโมทนาในทานที่ถวายเท่านั้น!!!
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องว่าจะได้บุญ หรือ ไม่ได้บุญจากคำให้พรเหล่านั้นเลย
>> อีกอย่างหนึ่ง … สาเหตุที่พระสงฆ์บางรูปท่านไม่ได้ให้พร หลังจากรับอาหารบิณฑบาต ท่านทำแต่เพียงยืนสงบนิ่งครู่หนึ่ง แล้วก็เดินต่อไป ก็เป็นเพราะท่านปฏิบัติตามพระวินัยว่า……
” พระภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรายืนอยู่ จะไม่แสดงธรรมแก่ผู้ไม่เป็นไข้ นั่งอยู่ ”
พระวินัยข้อนี้ … อยู่ในเสขิยวัตร ข้อปฏิบัติของพระ ว่าด้วยเรื่องการแสดงธรรม คือพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
ให้พระภิกษุ ที่ยืนอยู่ ไม่แสดงธรรมให้กับผู้ไม่เจ็บป่วย ที่นั่งอยู่
>> ถามว่า … สิกขาบทข้อนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องการให้พร ก็เพราะการให้พรนั้น มักให้พรเป็นภาษาบาลี และเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยธรรม คือ การแสดงธรรมอยู่แล้ว และบทให้พรบางบท ก็เป็นการแสดงธรรม โดยตรงเลยทีเดียว เช่น บทที่เรียกกันว่า
” สัพพีฯ ” ในตอนท้ายเป็นคำแสดงธรรมแบบหนึ่ง ที่ว่า ” อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ” ซึ่งแปลว่า ” ธรรมะสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญ บังเกิดขึ้นแก่ผู้มีปกติกราบไหว้ และอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิจ ”
>> เนื่องจาก … การให้พรนั้น เป็นการแสดงธรรมแบบหนึ่ง และชาวบ้านผู้มาใส่บาตร เมื่อใส่เสร็จแล้ว ก็นั่งยองๆ อยู่ ซึ่งถ้าหากท่านให้พรไป ก็จะเป็นการแสดงธรรมแก่ผู้นั่งอยู่ โดยที่ตัวท่านเองก็ยืนอยู่ การแสดงธรรม (ให้พร)ไปในลักษณะนั้น ก็เท่ากับเป็นการไม่เคารพพระธรรม
ดังนั้น พระคุณเจ้าหลายๆ รูป ที่รู้พระวินัยดีจึงกระทำเพียง ยืนสงบนิ่ง ตั้งจิตเมตตาปรารถนาดี อนุโมทนาทาน ต่อผู้ถวายอาหารบิณฑบาตแล้วก็เดินต่อไป จนชาวบ้านที่ไม่เข้าใจ ก็นึกตำหนิว่า
” พระอะไรใช้ไม่ได้ รับอาหารแล้ว ก็ยืนนิ่ง ไม่ยอมให้พร “
ดังนั้น …
ถ้าหากผู้มีศรัทธา มีจิตเป็นบุญกุศล ถวายอาหารบิณฑบาตแล้ว ก็ควรเอื้อเฟื้อพระคุณเจ้า ตามพระวินัยของท่านด้วย ไม่ควรให้ท่านต้องฝ่าฝืนพระวินัย แม้จะเป็นข้อเล็กน้อยก็ตาม
การที่เราได้ถวายอาหารบิณฑบาต บุญกุศลก็เกิดขึ้นแก่เราอยู่แล้ว จะได้รับพรหรือไม่ ก็ไม่ต่างกัน อนึ่ง โดยปกติพระภิกษุท่านมารับ
อาหารบิณฑบาต ท่านก็ต้องตั้งจิตเมตตาปรารถนาดีเป็นเบื้องหน้ากับทุกผู้คนอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากให้พรเสียยืดยาว
>> สำหรับ …ท่านที่ยังต้องการจะรับพรอยู่ (อาจเพื่อความสบายใจ หรือเพื่อเจริญศรัทธามากขึ้น)
ก็ควรกระทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาพระวินัยของพระสงฆ์ โดยเมื่อถวายอาหารเสร็จแล้ว ก็ควรถอดรองเท้า (บางท่านถอดรองเท้าตั้งแต่ก่อนใส่บาตร) หุบร่ม ถอดหมวก (ถ้ามี) แล้วยืนพนมมือ กล่าวกับพระคุณเจ้าว่า ” ขอนิมนต์พระคุณเจ้าได้โปรดอนุโมทนา ให้พร แก่กระผม / ดิฉัน หรือ ให้พรแก่โยมด้วย ” แล้วก็ยืนพนมมือรับพร หรือถ้าจะรับในท่านั่ง ก็หาเก้าอี้มาให้พระคุณเจ้าได้นั่ง แล้วผู้จะรับพรก็นั่งคุกเข่า หรือนั่งกระโหย่ง
พนมมือรับพร
การทำแบบนี้ นอกจากจะเป็นการเคารพในพระธรรม ในพรที่ท่านให้มาแล้ว ก็ยังเป็นการช่วยเอื้อเฟื้อให้พระสงฆ์ไม่ต้องผิดพระวินัยอีกด้วย
ที่มา : พระครูพัชรวีราภรณ์
วัดทรงธรรมวรวิหาร
Cr ภาพ : ig:khun_ying_cocos
ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10154669789141769&set=gm.1457346300955363&type=3&theater
1 comments on “” พระบิณฑบาต ” ยืนให้พร ต้องอาบัติทุกกฏ !!!”